จริงหรือไม่? ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A รุนแรงถึงชีวิต

จริงหรือไม่? ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A รุนแรงถึงชีวิต

ทุกวันนี้หลายๆคนอาจจะคิดว่าอาการไอ จาม หรือมีไข้ ก็คงเป็นเรื่องปกติที่เกิดจากฝุ่นหรืออากาศที่เปลี่ยน แปลงบ่อยๆ และก็คงคิดว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา รักษาตามอาการกินยาไม่กี่วันก็หาย แต่รู้หรือไม่ว่าในช่วงที่ผ่านมาจำนวนผู้ป่วย ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆในผู้ใหญ่ และระบาดมากในกลุ่มเด็กซึ่งมีอาการคล้ายกันกับที่กล่าวมาข้างต้น ก็ดูมันเหมือนไข้หวัดธรรมดาทั่วไป ซึ่งจริงๆแล้วไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ก็เป็นหนึ่งในโรคระบาดใหญ่(pandemic)ได้อย่างรวดเร็วและอันตรายกว่าที่คิดโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง

และความอันตรายของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ Aนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว (เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน) เช่น ปอดบวม, ภาวะช็อค หรือผลกระทบต่อระบบประสาท และวิธีป้องกันเบื้องต้นคือการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงสถานที่แอดอัดและฉีดวัคซีนประจำปี

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ว่ามันอันตรายหรือน่ากลัวขนาดนั้นจริงไหม? ไปจนถึงแนวทางการรักษาและป้องกัน เพื่อให้คุณสามารถดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างปลอดภัยที่สุด

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A คืออะไร? ทำไมถึงอันตราย

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A คืออะไร? ทำไมถึงอันตราย

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A (Influenza A) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ A ซึ่งเป็นหนึ่งในชนิดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยไวรัสนี้สามารถทำให้เกิดอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้สูง, ปวดหัว, ปวดกล้ามเนื้อ, คัดจมูก, ไอ และอาการอื่นๆ ที่คล้ายไข้หวัดธรรมดา เชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านละอองฝอยในอากาศจากการไอ จาม หรือพูดคุยในระยะใกล้  ซึ่งไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A นี้สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายสายพันธุ์ย่อย โดยการจำแนกสายพันธุ์จะขึ้นอยู่กับโปรตีนที่อยู่บนผิวของไวรัส ซึ่งมีโปรตีนหลัก 2 ชนิดคือ Hemagglutinin (H) และ Neuraminidase (N) ซึ่งจะมีตัวเลขต่อท้าย เช่น H1N1, H3N2 เป็นต้น

จุดเริ่มต้นหรือต้นกำเนิดของไวรัสชนิดนี้มักจะมาจากสัตว์ โดยเฉพาะในนกและหมูซึ่งสามารถเป็นแหล่งสะสมและแพร่เชื้อไวรัสนี้ไปสู่คนได้จากการสัมผัสหรือสูดดมสารคัดหลั่งจากสัตว์ที่ติดเชื้อ และเจ้าไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A นี้สามารถกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการระบาดเป็นประจำในแต่ละปีและบางครั้งอาจเกิดการระบาดที่ใหญ่โต เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในช่วงปี 1918 (ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1) หรือปี 2009 (ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 ใหม่)

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A แตกต่างกับไช้หวัดใหญ่ธรรมดาอย่างไร?

ถึงแม้ว่าทั้งไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีอาการส่วนใหญ่คล้ายๆกัน แต่จริงๆแล้วก็มีหลายๆด้านที่แตกต่างกันด้วย โดยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เกิดจากไวรัส Influenza A มักมีอาการรุนแรง เช่น ไข้สูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส, ปวดกล้ามเนื้อ, ปวดศีรษะ, คัดจมูก, ไอแห้ง, และอ่อนเพลีย โดยอาการมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกินเวลานานถึง 1-2 สัปดาห์ ในส่วนของการรักษาอาจต้องใช้การรักษาเฉพาะทางและอาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น ปอดบวมหรือติดเขื้อในทางเดินหายใจ

ส่วนไข้หวัดธรรมดานั้นเกิดได้จากไวรัสหลายชนิดเช่น Rhinovirus จะมีอาการเบากว่า เช่น คัดจมูก มีไข้ต่ำ หรือไอแบบมีเสมหะ โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ A มาก สามารถฟื้นตัวได้เร็วภายใน 3-7 วัน

อาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A

อาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A

หลังจากได้รับเชื้อ อาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มักจะเริ่มแสดงอาการใน 1-4 วัน อาการจะแสดงออกค่อนข้างเร็วและรุนแรงกว่าหวัดธรรมดา โดยอาการที่พบบ่อยจะมีดังนี้

  • ไข้สูง: เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ซึ่งอาจมีไข้สูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส ไข้มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสามารถคงอยู่ได้หลายวัน
  • ปวดกล้ามเนื้อและข้อ: ผู้ป่วยมักรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยเฉพาะที่กล้ามเนื้อและข้อต่าง ๆ อาการนี้มักจะรุนแรงและทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลีย
  • ปวดหัว: ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรุนแรง ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวมากขึ้น
  • ไอแห้งและเจ็บคอ: ไอที่เกิดจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มักจะเป็นไอแห้งที่ไม่ค่อยมีเสมหะ และบางครั้งอาจรู้สึกเจ็บคอ หรือมีอาการระคายเคืองในลำคอ
  • อ่อนเพลีย: อาการอ่อนเพลียและเหนื่อยล้ามักจะรุนแรงและสามารถคงอยู่นานหลายวัน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหมดแรงและไม่มีพลังในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
  • อาการท้องเสีย (บางครั้ง): ในบางกรณี, ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
  • การหายใจลำบาก: ในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม หรือการติดเชื้อในระบบหายใจ, อาจทำให้การหายใจลำบากและมีอาการหายใจติดขัด

แต่สำหรับบางคนโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงเช่น ผู้สูงอายุ, เด็ก, หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว จะฟื้นตัวที่ช้ากและต้องได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิด เพราะหากเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น โรคทางระบบประสาท (Neurological complications) ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A อาจมีผลกระทบต่อระบบประสาทเช่น เกิดอาการชัก หรือในบางกรณีหากเชื้อแพร่กระจายไปที่สมองอาจทำให้เกิดโรค เอนเซฟาลิติส (Encephalitis) ซึ่งเป็นภาวะสมองอักเสบที่รุนแรงและอาจทำให้เสียชีวิตได้

วิธีสังเกตอาการ

อาการมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังได้รับเชื้อใน 1-4 วัน ซึ่งอาการเบื้องต้นที่พบบ่อยก็จะมี

  • ไข้สูง (38-40°C) และมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อและข้อ
  • หนาวสั่นหรือมีเหงื่อออกมาก
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ หรืออาเจียน (บางรายและในเด็ก)
  • ไอแห้งหรือไอมีเสมหะ

และหากมีอาการที่รุนแรงมากขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอื่นๆ ตามมา ตัวอย่างอาการเช่น

  • ไข้สูงต่อเนื่อง เกิน 3 วัน และไม่ลดลง
  • ซึม ไม่ตอบสนอง หรือหมดสติ
  • อาการไอแย่ลง มีเสมหะสีเหลืองหรือเขียว อาจเกิดปอดอักเสบ
  • ในเด็ก: หายใจหอบ ซึม ไม่กินน้ำหรืออาหาร อาเจียนบ่อย

กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เป็นพิเศษ

อย่างที่ทราบกันดีว่าไข้หวัดสายพันธุ์ A นั้นเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่แพร่ระบาดได้ง่าย อาการหนักกว่าไข้หวัดธรรมดาทั่วไปเนื่องจากสามารถเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงได้ ถึงแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วสามารถหายได้เองใน 1-2 อาทิตย์ แต่สำหรับกลุ่มเสี่ยง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A อาจจะส่งผลกระทบรุนแรงกว่าที่คิด ซึ่งกลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังและดูแลเป็นพิเศษ ได้แก่ เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 5 ปี) และ ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) เนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบและไข้ชัก ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ เบาหวาน ไตเรื้อรัง และตับเรื้อรัง ก็มีความเสี่ยงสูงเพราะโรคอาจกำเริบรุนแรงขึ้น

นอกจากนี้ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่มีภาวะอ้วย (BMI ≥ 30) ก็อาจจะมีปัญหาด้านระบบหายใจและภูมิคุ้มกันลดลงเช่นกัน และสุดท้ายคือผู้ที่อยู่ในสถานที่แออัด เช่น หอพัก ค่ายทหาร หรือสถานกักกัน มีความเสี่ยงต่อการรับและแพร่เชื้อสูง การป้องกันเบื้องต้นที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด สวมหน้ากากอนามัย หมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอและรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน

การวินิจฉัยและการรักษา

วิธีการวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A นั้นจะเริ่มจากการพิจารณาอาการของผู้ป่วย เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อตามตัว ไอ เจ็บคอ และอ่อนเพลีย แต่เนื่องจากอาการก็มีความคล้ายคลึงกับโรตทางเดินหายใจอื่นๆ แพทย์อาจจะใช้การตรวจเพิ่มเติม ยกตัวอย่างเช่น

  • การตรวจแอนติเจนอย่างรวดเร็ว (Rapid Influenza Diagnostic Test: RIDT) – ตรวจหาโปรตีนของไวรัสจากสารคัดหลั่งในโพรงจมูกหรือคอ ใช้เวลา 10-15 นาที แต่มีโอกาสให้ผลลบปลอมได้
  • การตรวจ RT-PCR (Reverse Transcription Polymerase Chain Reaction) – มีความแม่นยำสูงกว่าการตรวจแบบรวดเร็ว สามารถระบุชนิดของเชื้อไวรัสได้ชัดเจน

และในส่วนของการรักษา ส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและความเสี่ยงของผู้ป่วย ได้แก่ การรักษาตามอาการสำหรับผู้ป่วยทั่วไป เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ใช้ยาลดไข้ แต่ *ห้ามใช้ยาแอสไพรินในเด็กเพราะเสี่ยงต่อภาวะ Reye’s Syndrome* และแยกตัวจากผู้อื่นเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะเป็นการรักษาด้วยยาต้านไวรัสตามที่แพทย์สั่ง เพื่อลดความรุนแรงของโรคและลดระยะเวลาป่วยเช่น Oseltamivir (Tamiflu), Zanamivir (Relenza) หรือBaloxavir (Xofluza)

ในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบหรือภาวะหายใจล้มเหลว อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

วิธีเตรียมตัวรับมือและป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A

วิธีเตรียมตัวรับมือและป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A

การป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ไม่ยากเลย ถ้าเราปฏิบัติตามขั้นตอนง่ายๆ อย่างการฉีดวัคซีน ถึงแม้ว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่ก็สามารถช่วยลดอาการป่วยที่รุนแรงได้ ล้างมือบ่อยๆ ใส่หน้ากากอนามัยในที่แออัด และดูแลสุขภาพด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และกินอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและทำให้เราผ่านช่วงการระบาดไปได้อย่างปลอดภัย ทุกคนสามารถช่วยกันป้องกันการแพร่กระจายของโรคได้ ถ้าเราเข้าใจและทำตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้เราปลอดภัยและสุขภาพดีไปด้วยกัน

 

โปรโมชั่นพิเศษจาก Medical Line Lab

เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพและป้องกันตัวเองจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A  Medical Line Lab ขอมอบโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี

ราคาปกติ วัคซีนไข้หวัดใหญ่เข็มละ 520 บาท แต่ถ้ามา 2 ท่าน ลดราคาเหลือ 2 เข็ม 1000.-บาท

 

สอบถามหรือจองคิวฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปีกับ Medical Line Lab ได้ที่ช่องทางดังนี้

เบอร์โทรศัพท์: 02-374-9604

Line: https://page.line.me/259wtcig?openQrModal=true

Contact us: https://www.medicallinelab.co.th/ติดต่อสอบถาม/

Website: https://www.medicallinelab.co.th/

Facebook: https://www.facebook.com/MLLmedicallinelab

Email: info@medicallinelab.co.th

Scroll to Top