อาการปวด บวม แดงตามข้อ หรือความรู้สึกไม่สบายบริเวณข้ออาจเป็นสัญญาณเตือนของ ‘โรคเก๊าท์’ ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ป่วยเพศชายที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปและผู้ป่วยเพศหญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ส่งผลให้เคลื่อนไหวร่างกายได้ลำบาก เป็นอุปสรรคต่อการทำกิจกรรมประจำวัน เช่น การเดินหรือทำงาน แม้โรคเก๊าท์จะเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ แต่ต้องมีการควบคุมการรับประทานอาหารและเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปด้วย อาการจึงจะบรรเทาลงได้ แต่ในกรณีที่ปล่อยให้โรคเก๊าท์กำเริบโดยไม่รักษาก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
โรคเก๊าท์ (Gout) คืออะไร
โรคเก๊าท์ (Gout) คือ โรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย เกิดจากการสะสมของกรดยูริคในเลือดสูงกว่าปกติ ทำให้มีการตกผลึกยูริคและกลายเป็นปุ่มก้อนในข้อและเนื้อเยื่อรอบข้อ และเป็นที่มาของอาการปวด บวม แดง ร้อน และตึงบริเวณข้อ โดยเฉพาะข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ นิ้วมือ และนิ้วเท้า อาการปวดข้อจากโรคเก๊าท์อาจเป็นอยู่นาน 2-3 วันจนถึง 2-3 สัปดาห์และจะค่อย ๆ ทุเลาลงตามลำดับ
สาเหตุของโรคเก๊าท์
โรคเก๊าท์มีสาเหตุมาจากการสะสมของกรดยูริคในร่างกายผิดปกติ ซึ่งกรดยูริคเป็นกรดที่เกิดจากการเผาผลาญธาตุอาหารที่มีชื่อว่าพิวรีน (Purine) เป็นสารที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เองและพบได้ในอาหารจำพวกเนื้อแดงและอาหารทะเล โดยมีไตเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับกรดยูริคออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายสร้างกรดยูริกมากเกินไป หรือขับออกทางไตได้น้อยเกินไป จะทำให้ร่างกายมีการสะสมกรดยูริคมากเกินไปจนเกิดการตกผลึกเป็นยูริคและกลายเป็นปุ่มก้อนในข้อและเนื้อเยื่อรอบข้อ ส่งผลให้เกิดอาการปวดตามข้อนั่นเอง
ปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์
โรคเก๊าท์มีความสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้แก่ เพศและอายุ โดยเพศชายจะมีความเสี่ยงสูงกว่าเพศหญิง
พันธุกรรม ภาวะน้ำหนักตัวเกิน การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือยาบางชนิดที่ใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง การบริโภคอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เนื้อสัตว์บางชนิด และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไต หรือโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคเก๊าท์มากขึ้น
อาการของโรคเก๊าท์
อาการของโรคเก๊าท์ ได้แก่ อาการปวดข้ออย่างรุนแรง มักเริ่มในช่วงกลางคืนหรือเช้าตรู่ โดยข้อจะบวม แดง ร้อน ตึง มักมีอาการกำเริบเป็นพัก ๆ ปวดเป็น ๆ หาย ๆ หรือปวดเรื้อรัง ส่วนที่พบอาการบ่อยที่สุด คือ ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ นิ้วมือ ข้อศอก และนิ้วเท้า ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการปวดทรมานมากจนไม่สามารถลงน้ำหนักบริเวณข้อได้ หากปล่อยไว้นาน อาจเกิดการเสียหายถาวรที่ข้อต่อได้ ในรายที่เป็นเรื้อรังจะมีการรวมตัวของกรดยูริกเกิดเป็นก้อนที่ข้ออย่างเห็นได้ชัด หรือในรายที่เป็นเกาต์มานานอาจพบนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเก๊าท์
ผู้ป่วยโรคเกาต์ที่ไม่เข้ารับการรักษาอาจมีปัญหาที่รุนแรงตามมา เช่น เป็นโรคเกาต์ที่กำเริบขึ้นซ้ำ ๆ ส่งผลให้ข้อต่อเสียหายและเคลื่อนไหวได้อย่างจำกัด นอกจากนี้อาจมีการสะสมของผลึกยูริค ใต้ผิวหนังเป็นก้อนที่เรียกว่า ก้อนเก๊าท์ (Tophi) ซึ่งสามารถพบได้ทั้งบริเวณนิ้ว มือ เท้า ข้อศอก และเอ็นร้อยหวายหลังข้อเท้า ซึ่งอาจเห็นได้ชัดเจนที่ผิวหนังและทำให้เกิดการอักเสบ นอกจากนี้ยังอาจเกิดการสะสมของกรดยูริกในระบบปัสสาวะที่ทำให้เกิดนิ่วในไต รวมถึงโรคไต เนื่องจากระดับกรดยูริกที่สูงในเลือดอาจทำให้ไตทำงานหนักเกินไป ส่งผลให้ไตเสียหายหรือเป็นโรคไตเรื้อรังได้
ใครบ้างที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงของโรคเก๊าท์
- เพศชาย โดยเฉพาะในช่วงอายุ 30-50 ปี รวมถึงผู้สูงอายุ
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วน
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกลุ่มอาการทางเมตาบอลิซึม เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไต
- ผู้ที่ใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) ที่ใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง หรือยาที่ส่งผลต่อการขับกรดยูริก
- ผู้ที่บริโภคอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อแดง อาหารทะเล หรืออาหารที่มีพิวรีนสูง
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์และสุรา
- ผู้ที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอเป็นประจำ
- ผู้ที่มีระดับกรดยูริกในเลือดสูง
โรคเก๊าท์มีความอันตรายมากน้อยเพียงใด
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โรคเก๊าท์อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโดยตรง อาการปวดที่รุนแรงและการอักเสบในข้อต่อสามารถทำให้เกิดความเจ็บปวดมากจนจำกัดการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน หากปล่อยให้มีการสะสมของกรดยูริกในเลือดสูงเกินไปยังส่งผลให้เกิดการเสียหายต่อข้อและไต รวมถึงทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น นิ่วในไต โรคไต โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองได้
วิธีป้องกันโรคเก๊าท์
การป้องกันโรคเก๊าท์สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลสุขภาพดังนี้
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูงโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
- ลดการบริโภคน้ำตาล
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรงและออกกำลังกายเป็นประจำ
แนวทางการรักษาโรคเก๊าท์
การรักษาโรคเก๊าท์สามารถทำควบคู่กันทั้งการใช้ยาและการปรับพฤติกรรม เช่น การควบคุมอาหาร ลดบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง ลดน้ำหนักในกรณีที่มีภาวะน้ำหนักเกิน งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกาย เป็นต้น
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเก๊าท์
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเกาต์มี 2 ประเภท อย่างไรก็ตาม ยาแต่ละประเภทมีข้อชี้บ่งในการใช้และผลข้างเคียงแตกต่างกันไป และยาบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาชนิดอื่นได้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา
- ยาระงับการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบและความรู้สึกไม่สบายตัวที่มาพร้อมกับโรคเกาต์ เช่น ยาโคลชิซิน (Colchicine) และยาต้านการอักเสบ (NSAIDs)
- ยาลดกรดยูริก ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเกาต์โดยลดระดับกรดยูริกในเลือดให้สมดุล ทำให้ผลึกเกลือยูริคที่สะสมในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายละลายออกมา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ยาเร่งการขับกรดยูริกออกทางไต ได้แก่ ยาโพรเบเนซิด (Probenecid) ยาเบนซ์โบรมาโรน (Benzbromarone) และยาซัลฟินไพราโซน (Sulfinpyrazone) และยายับยั้งการสร้างกรดยูริก ได้แก ยาอัลโลพูรินอล (Allopurinol) และยาฟีบัคโซสตัต (Febuxostat)
แนวทางการดูแลร่างกายของผู้ป่วยโรคเก๊าท์
- การควบคุมอาหาร ลดบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เนื้อสัตว์บางชนิด
- ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกาย
- งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- หากมีอาการปวดเฉียบพลัน ไม่ควรบีบนวดบริเวณที่ปวด ให้พักการใช้ข้อที่อับเสบ แล้วใช้วิธีประคบเย็นช่วยบรรเทาอาการ
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์ เช่น ประวัติครอบครัวมีโรคเก๊าท์ ภาวะน้ำหนักเกิน หรือมีโรคประจำตัวอื่น ๆ
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
อาหารที่ควรทานและไม่ควรทานสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์
ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควรให้ความสำคัญกับอาหารการกินในแต่ละมื้อ เพราะอาหารบางชนิดอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ อาหารที่รับประทานสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มตามปริมาณของสารพิวรีนในอาหาร คือ
- อาหารที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควรงดเว้นหรือหลีกเลี่ยง (มีสารพิวรีนมากกว่า 150 มิลลิกรัม) ได้แก่ เครื่องในสัตว์ ปลาซาร์ดีน ไข่ปลา หอยเซลล์ ปลาทู ไก่ เป็ด นก น้ำปลา กะปิจากปลาไส้ตัน ยีสต์และอาหารหมักจากยีสต์ เช่น เบียร์ เป็นต้น
- อาหารที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ทานได้ในปริมาณจำกัด (มีสารพิวรีนอยู่ที่ 50-150 มิลลิกรัม) ได้แก่ เนื้อวัว ผ้าขี้ริ้ว เนื้อหมู เนื้อปลา ปู กุ้ง หอย อาหารจำพวกถั่ว หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม เห็ด ดอกกะหล่ำ ชะอม กระถิน เป็นต้น
- อาหารที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ทานได้ (มีสารพิวรีนอยู่ที่ 0-50 มิลลิกรัม) ได้แก่ ข้าว ขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยวทุกชนิด ข้าวโพด ไข่ นมและผลิตผลจากนม น้ำมันพืช กะทิ เนย น้ำมันหมู ผักและผลไม้เกือบทุกชนิด เกาลัด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น
โรคเก๊าท์เกิดจากการทานเนื้อไก่เยอะจริงหรือไม่?
เนื้อไก่เป็นหนึ่งในอาหารที่มักถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุของโรคเก๊าท์ เนื่องจากมีปริมาณพิวรีนที่สูงกว่าเนื้อสัตว์บางชนิด เช่น ปลาทะเล แต่ไม่ใช่เป็นอาหารที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์โดยตรง ดังนั้นจึงแนะนำให้บริโภคเนื้อไก่ในปริมาณที่พอเหมาะและปรุงอาหารด้วยวิธีที่ถูกสุขลักษณะเพื่อควบคุมปริมาณพิวรีนที่ได้รับ และควรรับประทานอาหารที่หลากหลายและรักษาสมดุลเพื่อป้องกันโรคเก๊าท์
Ref:
https://www.vibhavadi.com/Health-expert/detail/117
https://www.vimut.com/article/gout-causes-symptoms-treatment
https://samitivejchinatown.com/th/article/bone-osteoarthritis/gout
สนใจขอรับบริการตรวจสุขภาพกับทาง Medical line lab สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากช่องทางดังนี้
เบอร์โทรศัพท์: 02-374-9604
Line: https://page.line.me/259wtcig?openQrModal=true
Contact us: https://www.medicallinelab.co.th/ติดต่อสอบถาม/
Website: https://www.medicallinelab.co.th/
Facebook: https://www.facebook.com/MLLmedicallinelab
Email: info@medicallinelab.co.th